ยักษ์ใหญ่ระวัง ‘สาลิกา’ นับหนึ่ง

การคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จครั้งแรกในรอบ 70 ปี แต่มันคือจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสร
แฟนบอลทุกคนในโลกล้วนรู้ดีว่ากองเชียร์ของทัพ ‘สาลิกาดง’ หรือที่เรียกกันว่าเหล่า ‘ทูน อาร์มี่’ นั้นมีความหลงไหลในทีม พร้อมพลังเชียร์อันมหาศาลแค่ไหน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า ทีมที่บางครั้งเราก็สับสนสีเสื้อพวกเขากับ ยูเวนตุส จะต้องอยู่กับความทนทุกข์มาตลอดเวลาหลายทศวรรษ
นิวคาสเซิล คือหนึ่งในทีมที่มีเสน่ห์ที่สุดในวงการลูกหนัง ทว่านับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรเมื่อปี 1881 พวกเขาเพิ่งเคยคว้าแชมป์ไปได้แค่ 10 ครั้ง แบ่งเป็น ดิวิชั่น 1 หรือพรีเมียร์ลีกเดิม 4 สมัย และ เอฟเอ คัพ อีก 6 สมัย
โดยหากจะนับเฉพาะช่วงเวลาที่พวกเราหลายคนเกิดทัน ทีมจากทางอีสานของเกาะอังกฤษ ก็ดูจะมีแต่เรื่องที่ต้องเจอกับความผิดหวัง โดยเฉพาะในฤดูกาล 1995/96 ซึ่งเคยมีช่วงจังหวะที่นำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนนในเดือนมกราคม แต่กลายเป็นว่ากลับถูก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เล่นเกมจิตวิทยา ทำเอา เควิน คีแกน ธาตุไฟเข้าแทรกไปเอง จนสุดท้ายจบนัดที่ 38 มีแต้มตามหลังถึง 4 คะแนน
ซีซั่นถัดมา ‘เดอะ แม็กพายส์’ ไม่ได้กุมความได้เปรียบในการลุ้นแชมป์ ก่อนที่สุดท้ายจะจบลงด้วยตำแหน่งรองแชมป์เช่นเดิม และถึงแม้ว่าจะมีดาวยิงระดับยอดแข้งแห่งยุคอย่าง อลัน เชียร์เรอร์ มาอยู่กับทีม ซึ่งถึงแม้ว่าจะถล่มประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกรรม แต่ทีมนี้ก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับความสำเร็จอีกเลย
ถ้าคุณคิดว่านี่คือเรื่องเลวร้ายที่สุดที่พวกเขาเคยเจอแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าคิดผิด เพราะในยุค พรีเมียร์ลีก นิวคาสเซิล ต้องตกชั้นไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ แล้วถึง 2 ครั้ง เดชะบุญที่ไม่หล่นลงไปนาน ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจะมาถึงในการเปลี่ยนเจ้าของทีมเป็นกลุ่มทุนจากซะอุดิอารเบีย
แน่นอนว่าเจ้าของใหม่มีเงินถุงเงินถังอยู่เต็มกระเป๋า แต่ควักออกมาใช้ไม่ได้เพราะเรื่องของกฎการเงิน แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาบริหารทีมได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเลือก เอ็ดดี้ ฮาว เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม รวมถึงเลือกซื้อนักเตะได้เข้าเป้า จนทำให้ทีมได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ในฤดูกาล 2023/24
แต่อย่างที่รู้กันว่า พวกเขาไปได้ไม่สวยเท่าไหร่ในการคัมแบ็คครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเรื่องของประสบการณ์ และขนาดทีม ก่อนที่ในซีซั่นนี้พวกเขาจะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และมันช่างลงตัวเหลือเกิน
การมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะต้องเจอกับแชมป์เก่า และจ่าฝูงของ พรีเมียร์ลีก อย่าง ลิเวอร์พูล ส่งผลให้ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะคว้าโทรฟี่ได้ในเกมนี้ อย่างดีก็คงสู้ได้ แต่ต้องผิดหวังในท้ายที่สุด ทว่าสิ่งที่ปรากฎขึ้นตลอด 90 นาทีใน เวมบลีย์ คือลูกทีมของ เอ็ดดี้ ฮาว กดบรรดายอดแข้งของ อาร์เน่อ ชล็อต ให้กลายเป็น ‘หงส์ปีกหัก’ แบบที่บินไม่เป็นกันเลย
มีคอมเมนต์หนึ่งกล่าวว่า “ถ้วยนี้ของ ลิเวอร์พูล อาจจะเป็นเพียงโบนัส แต่กับ นิวคาสเซิล มันคือประวัติศาสตร์” และสิ่งสำคัญที่สุด มันคือการนับหนึ่งในยุคสมัยของมหาเศรษฐีจากตะวันออกกลาง
หากจะเปรียบเหมือนอะไรสักอย่าง ก็คงพูดได้แค่ว่าหลังจากนี้ ‘สาลิกาดง’ คือฉลามที่ได้กลิ่นเลือด และพร้อมที่จะวิ่งหาความสำเร็จที่สองต่อไปแล้ว บรรดาทีมใหญ่อื่น ๆ ถ้ายังไม่ขยับตัว รับรองเลยว่าจะถูกแทนที่โดย นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด จงระวังตัวไว้ให้ดี
เขียนโดย LS Sport
ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง

